เมื่อนึกถึงวัยเด็กเมื่อไหร่ทำให้รู้สึกดีทุกครั้ง จากเด็กชาวนาตัวเล็ก ๆ จากครอบครัวชาวนาธรรมดา ๆ ที่มีพี่น้อง 8 คน ตัวเองเป็นคนสุดท้อง (ลูกชายหล้า) และเป็นเดียวที่เรียนเกิน ป. 4 เพราะเป็นคนรักเรียน (แล้วจะเล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่่ง) ความประทับใจในการเป็นชาวนา ทำให้ผู้เขียนเองแม้ว่าจะมีอาชีพที่คิดว่าสูงสุดแล้วในทางโลก (เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย) กลับอยากจะกลับไปเป็นชาวนาอีกครั้ง ไม่ได้เป็นเพราะต้องเกษียณอายุราชการเพราะไม่มีอะไรจะทำ ไม่ ไม่ ไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน ต้องมีอะไรมากกว่านั้น
การทำนาสมัยเด็กนั้นต่างกับตอนนี้มาก ถึงหน้านาหรือฤดูฝน ฝนจะตกมากและตกสม่ำเสมอบางครั้งตกหลายวันต่อกัน พ่อ แม่ พี่ ๆ ออกไปไถนา ตัวเองยังเล็ก มีหน้าที่เลี้ยงควาย ทำโน่นทำนี่เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็มีความสุขดี โดยเฉพาะไปเลี้ยงควายท่ามกลางสายฝนที่ตกทั้งวัน หนาวก็หนาว วิธีแก้หนาวก็คือการนอนแซ่น้ำในท้องนา มีน้ำแก่ง (น้ำหลาก) ตามหวยที่หัวนา ลงไปเล่นน้ำ สนุกอยากบอกใคร (เด็กสม้ยนี้ไม่มีทางจะได้สัมผัส)
การทำมาหากินมันช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน พอฝนตกก็จะมีอึ่งอ่างร้องกันลั่่นทุ่ง จับกันได้เป็นหาบ (แต่เดี่๋ยวนี้แม้จะหาทำยากก็แสนยาก) ทำเป็นอึ่งย่าง ฝนตกก็ออกไปตีกบ เราเห็นแล้วสงสารกบเหลือเกิน ไปกับพี่ ๆ แต่ไม่ทำ (กินนะกินแน่) ปลาก็สามารถไปใส่เบ็ด (หรือหย่อนเบ็ด) เกินพอสำหรับกิน ในงานนาก็มีผักสารพัดชนิด ผักแว่น น่าจะเป็นผักหลัก แมงดาก็หาไม่ยาก มันมักจะไข่ไว้กับต้นไม้น้ำ (จำชื่อไม่ได้) เราจะรู้ทันทีว่าตัวมันอยู่ใต้ตนไม้น้ำนั้น การจับกบง่าย ๆ พอเดินตามคันนา กบก็จะกระโดดลงน้ำ วิธีการจับคือเราตามลงไปน้ำแบบค่อย ๆ ย่องแล้วเอามือประกบตรงสุดไพน้ำ (ฟองน้ำ – กบเดินไปฟองน้ำจะผุดขึ้นมา) บางครั้งหลังหลังเก็บเกี่ยวแล้วในที่นาสามารถหากบ หาเขียด หาปูได้ บางครั้งเขียดตัวเล็ก (เขียนกินา) สามารถเอาแพแหย่ง (ตาข่ายพลาสติก) เย็บเป็นที่ซ้อน สามารถซ้อนเขียดเล็ก ๆ เหล่านั้นได้ การหาอยู่หากินมันช่างง่ายดายเหลือเกิน คำที่ว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าวนั้นใช้ได้แน่นอน
การปลูกข้าวพอเดือนพฤษภาคม เมื่อฝนตกลงมาครั้งแรกเราเริ่มไถนาฮุด (ไถดะปรับดิน) พอฝนตกมากขึ้นก็ไถอีกครั้งเพื่อที่จะตกกล้า (หว่านกล้า) เมื่อกล้าโตพอดำ นาที่ได้ไถไว้แล้วจะถูกไถอีกครั้งแล้วคลาดเพื่อให้พื้นมันเรียบจะได้ดำได้ง่าย ตอนเย็นก็ถอนกล้า ตอนเช้าก็ดำ แล้วก็ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ (ทำนาร่วมกับเทวดา) แต่ส่วนใหญ่แล้วเทวดาท่านก็ใจดี ใจดี ให้น้ำตามฤดูกาลไม่เห็นต้องใส่ปุ๋ยที่ซื้อจากตลาดเลย มีแต่ขี้วัว ขี้ควาย ข้าวแก่หน่อยเราก็นำมาทำข้าวเม่า พอแก่เราก็เกี่ยว มีการลงแขกบ้าง ลานนวดข้าวใช้ขี้วัวผสมกับดินเหนียวเราเรียกว่าลานฟาด (นวด) ข้าว ส่วนใหญ่จำทำในตอนหัวค่ำจนประมาณ 4 ทุ่ม มีพระจันทร์ให้แสงสว่าง อากาศหนาวมาก (เดือน พ.ย. – ธ.ค) ส่วนฟาง เด็ก ๆ ก็ไปทำซุ้มนอนที่กองฟางโดยใช้คลาดเป็นโครง มันช่างมีความสุขเหลือเกิน คนสมัยใหม่จะไม่เห็นแน่นอน จิตวิญญานความเชื่อมโยง่จะมี ไม่เห็นชาวนาบ่นเรื่องของการเป็นหนี้
หลังจากว่างเว้นจากการทำนามานาน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผ่านนาที่ไรก็นึกถึงชีวิตชาวนา แต่ตอนนี้การทำนาไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาใช้รถแทนควาย ใช้รถเกี่ยวข้าวแทนคนหรือการลงแขก เขาใช้ปุ๋ยเคมีจากตลาดที่พ่อค้ามาเสนอขายให้โดยไม่ต้องจ่ายตังค์ แต่จะเอาเป็นข้าว การทำงานย่นจาก 2 เดือนมาเหลือ 4 – 5 วัน แล้วชาวนาก็บ่นบอกว่ามีแต่หนี้ (ทั้งที่ได้เงินมากกว่า) ทำให้ผู้เขียนคิด คิด และก็คิด ว่าถ้าเราทำเราจะไม่ทำอย่างนี้ แต่จะทำให้ใกล้เคียงกับตอนสมัยเด็ก ๆ ในนามีปลา มีปู มีกบ เขียด ความคิดนี้ก็เป็นจริงเมื่อผู้เขียนได้ซื้อที่นาประมาณ 5 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด ประมาณ 9 ไร่ ถ้าไม่ทำนาเราอยู่ได้ไหม? อยู่ได้แน่นอน บำนาญที่ได้รับเพียงพอสำหรับเราเพราะเราเป็นคนพอเพียง นี่คือความตั้งใจ อย่างไรก็ตามเวลาเท่านั้นจะสิ่งที่ต้องพิสูจน์ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรเลย สูงสุดยอดคืนสู่สามัญนี่คือธรรมชาติของชีวิต แล้วเราจะเอาอะไรในชีวิตนี้?????