ขณะปั่นจักรยานออกกำลังกายในตอนเช้า ซึ่งมักจะทำแทบทุกเช้า อย่างน้อยก็ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ระยะทางก็ประมาณ 20 – 30 กม. ยกเว้นวันหยุด แล้วแต่กลุ่มจะพาไปก็แล้วกัน ปั่นไปก็คิดไป สุดท้ายก็หาเรื่องเขียน blog จนได้
เป็นคนชอบออกกำลังกาย แต่ไม่ชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะที่มีการแข่งขัน ยังจำได้สมัยเป็นเด็กประถม ชอบเล่นฟุตบอลล์เอามาก ๆ หลังเลิกเรียนแล้ว ก็จะอยู่ที่โรงเรียนเล่นฟุตบอลล์จนเย็นค่อยกลับบ้าน แต่แล้ววันหนึ่งมีเหตุการณ์ที่ต้องทำให้ชีวิตผกผัน ขณะวิ่งไล่ตามฟุตบอลล์อยู่ ก็มีคุณครู (ไม่อยากเอ่ยนามท่าน แต่จำชื่อและหน้าได้ดี) วิ่งตามหลังมา แล้วเบิร์ดด้านหลังเรา ก็ไม่แรงเท่าไหร่หรอก และมีเสียงพูดว่า “บักห่ามึงแลนไว ๆ แน่” ด้วยความเป็นเด็ก ก็งง เรารู้สึกเราก็ได้ทำเต็มที่แล้ว และก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมครูต้องทำเช่นนี้ จำได้ว่าหลังจากนั้นก็ออกจากสนามฟุตบอลล์ไป และไม่กลับเข้าสู่สนามฟุตบอลล์อีกเลย ถ้าเจอคุณครูท่านพละท่านนั้นขณะนี้ แล้วเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง ไม่รู้ว่าท่านจะรู้สึกอย่างไร ว่าครั้งหนึ่งสิ่งที่ท่านอาจจะไม่ตั้งใจอะไรมาก แต่ทำให้เด็กคนหนึ่งมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป กลายเป็นเกลียดกีฬาฟุตบอลล์
พอโตขึ้นมาหน่อย เลยทำให้เล่นฟุตบอลล์ไม่เป็น แต่ก็อยากเล่นกับเพื่อน ๆ บ้าง ตอนทำงานมีโอกาสลงเล่นฟุตบอลล์บ้าง เนื่องจากว่าเล่นไม่เก่ง ก็ไม่ค่อยมีใครส่งให้เล่น ไอ้เราก็ได้ปรับความคิดใหม่แล้ว ไม่ส่งให้ก็ไม่สนวิ่งหาลูกบอลล์อย่างเดียว และตั้งใจว่าไม่ใช่ต้องการเล่นบอลล์ แต่ต้องการออกกำลังกาย แต่คนที่เล่นส่วนใหญ่ต้องการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตาย แต่เราไม่ใช่ เคยซื้อลูกฟุตบอลล์ ซื้อสตาร์ท เตะลูกบอลล์อัดกำแพงคนเดียว หวังว่าสักวันเราจะพอเล่นกับเขาได้บ้าง ส่วนการดูบอลล์นั้นก็ดูไม่มาก อาจจะเป็นเพราะความฝังใจตอนเด็กก็เป็นได้ จำได้ว่ายังไม่เคยดูฟุตบอลล์ โดยเฉพาะฟุตบอลล์โลกจบแมทซ์สักที และรู้สึกไม่สนใจด้วย ยิ่งตอนนี้เห็นเขาแข่งฟุตบอลล์กันทั่วโลก คลั่งกันทั่วเมือง ตัวเองรู้สึกเฉย ๆ ดู ๆ แค่ผ่านตาเท่านั้น
เคยเล่นกีฬาหลายอย่าง แต่ก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เช่นเล่นแบตมินตัน เพื่อน ๆ ก็เล่นแต่จะเอาชนะคะคานกัน แทนการตึโต้ อาจจะมีการเล่นเทคนิคอะไรบ้าง แต่เป้าหมายก็คือออกกำลังกาย เล่นได้สักพักก็เลิก เล่นเทนนิส ก็เช่นเดียวกัน แต่ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกับเล่นฟุตบอลล์ คือตีอัดกำแพงฝึกความถนัดทั้งมือซ้ายและมือขวา ไม่นานก็เลิก ยิ่งกอล์ฟแล้วยิ่งไม่ไหว ลองหัดอยู่สักพัก โอ้ย…มีแต่ท่าเดิม ๆ ไม่ใช่ทางของเราแน่นอน เลิก จะได้นานหน่อยก็คือวิ่งจ๊อกกิ้ง เข้าทางตัวเองเลย คือหนึ่งไม่ต้องแข่งกับใคร สองต้องแข่งกับตัวเอง สุดท้ายก็มีปัญหาจนได้ เจ็บหัวเข่าจำเป็นต้องเลิกวิ่ง
อย่างไรก็ตาม ความรักการออกกำลังกายก็ยังอยู่ในสายเลือดอยู่ มีคนแนะนำ การออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานสิ จริง ๆ ใจเราก็ชอบอยู่แล้ว พอเริ่มต้นดู ก็รู้สึกว่านี่แหละทางของเรา เริ่มต้นจากการปั่นออกกำลังกาย ก็เสริมด้วยการท่องเที่ยว ดูเหมือนทุกอย่างจะลงตัวไปหมด เป็นการออกกำลังกายที่ทั้งอิสระ ปั่นคนเดียวก็ได้ หรือปั่นกับกลุ่มแล้วอยากจะออกมาปั่นคนเดียวก็ไม่มีใครว่า หรือปั่นร่วมกับกลุ่มก็สนุกสนาน มันช่างแปลก ตลอดเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว (เปลี่ยนจักรยานไปหลายคัน) ยังทำกิจกรรมนี้เป็นวิถีชีวิตไปแล้ว ปั่นออกไปชมธรรมชาติ รู้สึกว่าตัวเองมีความสุข หรือทางวิชาการเขาเรียกว่าสารสุข (สารเอนโดฟิน) ได้หลั่งออกมา ทำให้รู้สึกว่ามันสบาย และก็ได้พิสูจน์หลายอย่างแล้วว่า สุขภาพดีขึ้น โรคภัยไข้เจ็บบางอย่างก็หายไป คงจะต้องทำต่อไปจนกว่าจะทำไม่ได้โน่นแหละ
สุดท้าย นอกจากสารสุข (เอนโดฟิน)แล้ว ก็ยังมีสารทุกข์ (อะดรินาลีน) ที่ยังไม่ได้กล่าวในที่นี้ อาจจะเป็นการเขียน blog อีกเรื่องหนึ่งก็ได้ ขณะนี้มันไม่ได้อยู่ในบริบทของงานเขียนนี้ ขอถามหน่อยว่า วันนี้ใครมีสารสุข (เอนโดฟิน) หลั่งหรือยัง แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ก็ขอบอกว่าหลั่งแล้วในขณะปั่นจักรยาน จนทำให้เกิดงานเขียนนี้ขึ้นมา 5555+