สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปี ที่มีพื้นเพเป็นชาวบ้านนาส่วง ถ้าถามถึงพ่อใหญ่สอแล้ว มีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก แล้วก็จะไม่จบแค่นั้นคนมักจะเล่าต่อถึงวีระกรรม วีระเวร ของพ่อใหญ่สอต่อไปอีก ยิ่งถ้าคนรุ่น 70 – 80 ก็ยิ่งจะมีอะไรเล่ามาก แล้วพ่อใหญ่สอเป็นใคร ทำไมต่้องเป็นตำนาน
จริง ๆ แล้วพ่อใหญ่สอเป็นชาวบ้าน ชาวนาธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้เรียนสูงอะไร แต่เมื่อมีการประชุมผู้ปกครองในโรงเรียน ครูจะต้องหยุดฟังพ่อใหญ่สอพูดและเสนอความเห็น พ่อใหญ่สอมีความคิดไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป พร้อมการกระทำก็แตกต่าง ถ้าจะบอกว่าเป็น strange/wise man of the village ก็อาจจะได้ ท่านเป็นคนคิดที่หลักแหลม ออกจะโกงนิด ๆ (เซียงเมี่ยง) ชอบทำกิจกรรมกับเด็ก ๆ จึงเป็นที่รักใคร่ของเด็ก ๆ สมัยโน้น ซึ่งตอนนี้เด็กเหล่านั้นก็อายุ 50 – 60 ปีแล้ว
มีการเล่าว่าขณะพ่อใหญ่สอตำส้มตำอยู่ จู่ ๆ ก็เทส้มตำทิ้งเฉย ๆ เขาถามว่าทำไม ท่านก็บอกว่าขณะตำอยู่น้ำลายมันออก มันอยากมากนักก็ไม่ต้องกินมันเสียเลย หลังจากกลับจากธุระโดยการโดยสารรถไฟ เมื่อถึงบ้านท่านก็กินข้าวที่บ้านโดยไม่มีกับ เมื่อมีคนถามท่านว่าทำไม่กินข้าวกับกับล่ะ ท่านก็บอกว่ากินปิ้งไก่ที่รถไฟแล้ว เดี๋ยวมันก็เข้าไปรวมกันเอง ลักษณะการทำแผง ๆ (ประหลาด ๆ) อย่างนี้ ได้มีการเล่ากันปากต่อปากกันมาเรื่อย ๆ บางครั้งก็มีการแต่งเติมบ้างเพื่อสร้างสีสรร
พ่อใหญ่สอจะสร้างความคึกคลื้นกับกลุ่มคนไม่ว่าในงานหรือที่ไหน พอพ่อใหญ่สอผ่านไปก็จะได้รับการเอิ้น (เรียก) ให้เข้ามาร่วม และก็เชื่อแน่ว่าวงนั้นมีความสนุกสนานคลื้นเคลง พ่อใหญ่สอจะออกกำลังกายทุกวันแต่เช้าแม้จะอายุขึ้นเลข 6 แล้ว ด้วยรองเท้าอีโอ๊บ (รองเท้าทหาร) เสียงหมาเห่าตามดังสนั่นแต่เช้า ชาวบ้านนาส่วงจะรู้ดีว่านั่นพ่อใหญ่สอท่านมาแล้ว
วันหนึ่่งหลังจากท่านออกกำลังกายมาแล้ว ก็นอนพักผ่อน และเป็นการพักผ่อนเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตของท่าน ท่านเป็นคนร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย และไม่เป็นภาระใครในเรื่องของการเจ็บป่วย หลายคนก็เสียดายในการจากไปท่าน แต่เรื่องของท่านก็ยังได้รับการกล่าวขานอยู่จนกระทั่งวันนี้ แล้วจะไม่เรียกท่านว่าเป็นตำนานเล็ก ๆ แห่งบ้านนาส่วงได้อย่างไร
เรื่องราวทั้งหมดนี้อาจจะดูว่าเกินจริงหรืออะไรก็แล้วแต่ คนบ้านนาส่วงเองจะให้คำตอบเรื่องนี้ แต่ในฐานะลูกชายคนเล็กคนที่ 8 หรือลูกชายหล้า ก็คงอดไม่ได้ที่จะเล่าเรืองของพ่อ หรือชาวบ้านเรียกว่าพ่อใหญ่สอ ชุมมวล
จำความได้ตอนเป็นเด็กพ่อให้ขี่คอไปนา ระหว่างกินข้าวพอมักจะเอาปลามาวางไว้ต่อหน้าเสมอ เมื่อปลาหมด ถ้าหงายมือพ่อก็จะเอาข้าวใส่มือทันที บางครั้งต้องร้องให้เพราะมันกินไม่หมด นี่คือความรักของพ่อที่มีต่อลูก พ่อเป็นคนอารมณ์ขันไม่ค่อยดุเหมือนแม่ ท่านได้เล่าวีระกรรมหลาย ๆ อย่างให้ฟัง เช่นตอนเป็นเณรได้ฆ่าเสือขณะมันกินหมาวัด โดยการจับหางแลัวแทงขณะมันกินหมาอยู่ พอเสือหันกลับมาก็โดนไปหลายแผลแล้ว ท่านเล่าเรื่องการเจอผีก่องก๋อย (อันนี้ไม่รู้จะเชื่อได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้)
พ่อจากไปตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 2 ไม่ได้มีโอกาสดูแลท่านแม้ยามเจ็บป่วย เพราะท่านไม่เจ็บป่วยให้เห็น หลายคนสงสารท่าน ว่าท่านจากไปไวเหลือเกิน แต่มันเป็นกรรมของใครก็ของใคร บอกไม่ได้หรอกว่าคนเราจะจากไปวันไหน สำหรับตัวเองแล้ว บอกว่าท่านเป็นคนโชคดี มีบุญที่จากไปโดยไม่ต้องลำบากตัวเองและคนอื่น ส่วนกรรมที่ทำนั้น ทุกคนจะต้องรับกรรมของตัวเอง คนอื่นทำให้ไม่ได้ ถ้าเราจากโลกนี้ไป ก็อยากจะเป็นเช่นเดียวกับพ่อคือยังแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ไม่เป็นภาระใคร จะเป็นวันไหนไม่เกี่ยง วันนี้ พรุ่งนี้ ปีหน้า สิบปีข้างหน้าหรือหลายสิบปีข้างหน้า แต่คงไม่อยู่อีกเป็นร้อยปีเพื่อให้เป็นตำนานของใคร